วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ตรวจสอบทบทวน


กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
(เวลา 20 นาที)
แผนการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการ
สาระการเรียนรู้  เรื่องราวรอบตัว   หน่วย ร่างกาย
สัปดาห์ที่ 1  วันที่ 12 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561


1. มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่ และกล้ามเนื้อเล็กที่แข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว และประสานสัมพันธ์กัน
                   ตัวบ่งชี้ที่ 2.1 เคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วและทรงตัวได้ดี
มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว   และรักการออกกำลังกาย
                   ตัวบ่งชี้ที่ 4.1 สนใจและมีความสุขกับศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
มาตรฐานที่ 8  อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
                   ตัวบ่งชี้ที่ 8.2 เล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้

2. สาระการเรียนรู้
2.1 สาระที่ควรเรียนรู้
               -การเคลื่อนไหวร่างกายแบบปฏิบัติตามข้อตกลง
          2.2 ประสบการณ์สำคัญ
               -การเคลื่อนไหวอยู่กับที่และการเคลื่อนไหวเคลื่อนที่
               -การแสดงปฏิกิริยาตอบโต้เสียงดนตรี
               -การเริ่มต้นและการหยุดกระทำโดยสัญญาณ
                                     
3.จุดประสงค์การเรียนรู้
          3.1 เพื่อให้เด็กสามารถเคลื่อนไหวร่างกายแบบปฏิบัติตามข้อตกลง
          3.2 เพื่อให้เด็กสามารถเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะและสัญญาณได้
3.3 เพื่อให้เด็กสามารถแสดงท่าทางด้วยความมั่นใจ

4.กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

          ขั้นนำ
          4.1 เด็กและครูร่วมกันสร้างข้อตกลงโดยให้เด็กเคลื่อนไหวร่างกายไปทั่วบริเวณห้องอย่างอิสระตามเสียงฉิ่ง เช่น ถ้าครูตีฉิ่งช้าๆ ให้เด็กเดินช้าๆ ตามจังหวะของเสียงฉิ่ง ถ้าครูตีฉิ่งเร็วๆ ให้เด็กๆ วิ่งตามจังหวะของฉิ่ง ถ้าครูหยุดตีฉิ่ง ให้เด็กหยุดเคลื่อนไหวในท่านั้นทันที โดยขณะเคลื่อนไหวเด็ก ๆ ต้องระมัดระวังไม่ให้ชนกับเพื่อนถ้าชนเพื่อนต้องขอโทษทันที

ขั้นสอน
           4.2. เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายแบบปฏิบัติตามข้อตกลง เช่น
                   -วันนี้ครูมีกิจกรรมให้เด็กๆทำชื่อกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายแบบปฏิบัติตามข้อตกลง
           4.3. เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายแบบปฏิบัติตามข้อตกลง ดังนี้
                   -ให้เด็กๆ หาพื้นที่ให้กับตัวเอง
                   -ถ้าครูตีกลอง 1 ครั้ง ให้เด็กๆ เดินไปข้างหน้า 1 ก้าว แล้วเอามือจับหู
                   -ถ้าครูตีกลอง 2 ครั้ง ให้เด็กๆ เดินถอยหลัง 1 ก้าว แล้วเอามือจับจมูก  
           4.4. เด็กและครูร่วมกันหาอาสาสมัครออกมาทดลองปฏิบัติกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายแบบปฏิบัติตามข้อตกลง เช่น
                   - ขออาสาสมัครออกมาวางข้อตกลงกับเพื่อน เช่น ถ้าเพื่อนตีกลอง 2 ครั้ง ให้เอามือจับที่จมูก แล้วเดินถอยหลัง 1 ก้าว ถ้าเพื่อนตีกลอง 1 ครั้ง ให้เอามือจับที่หู แล้วเดินไปข้างหน้า 1 ก้าว
          4.5.เด็กและครูร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายแบบปฏิบัติตามข้อตกลง ตามข้อ 4.3 สลับหมุนเวียนกันไปจนครบทุกคน

ขั้นสรุป
4.6.เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายแบบปฏิบัติตามข้อตกลง เช่น
          -เด็กๆ สัมผัสอวัยวะส่วนใดของร่างกายบ้างคะ
          -หูอยู่ตรงไหนคะ จับให้ครูดูหน่อยคะ หูทำหนาที่อะไรคะ
4.7.เมื่อเสร็จกิจกรรมครูให้เด็กพักผ่อนนอนพักนิ่ง  2 นาที  เป็นการพักคลายกล้ามเนื้อ

5. สื่อและแหล่งการเรียนรู้
-กลอง  

6. กระบวนการวัดและประเมินผล
          6.1 วิธีการ


รายการประเมิน

ระดับพัฒนาการ
3
2
1
1. เด็กสามารถเคลื่อนไหวร่างกายแบบปฏิบัติตามข้อตกลง
เด็กฟังและปฏิบัติตามสัญญาณได้ถูกต้อง
เด็กฟังและปฏิบัติตามสัญญาณได้ถูกต้องโดยครูหรือเพื่อนคอยกระตุ้น
เด็กไม่ฟังและไม่ปฏิบัติตามสัญญาณ
2. เด็กสามารถเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะและสัญญาณได้
เด็กปฏิบัติตามข้อตกลงของครูได้
เด็กปฏิบัติตามข้อตกลงเพื่อนที่เป็นผู้นำโดยครูหรือเพื่อนคอยกระตุ้น
เด็กไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงของครู
 3.  เด็กสามารถแสดงท่าทางด้วยความมั่นใจ
เด็กปฏิบัติตามข้อตกลงของครู
ด้วยความมั่นใจ
เด็กปฏิบัติตามข้อตกลงด้วยความมั่นใจโดยครูหรือเพื่อนคอยกระตุ้น
เด็กไม่ปฏิบัติตามข้อ
ตกลงของครู


6.2  ผลการประเมิน

รายการประเมิน

ระดับพัฒนาการ (จำนวน 5 คน)
ระดับ 3
(คน)
ร้อยละ
ระดับ 2
(คน)
ร้อยละ
ระดับ 1
(คน)
ร้อยละ
1. เด็กสามารถเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะและสัญญาณได้






2. เด็กสามารถปฏิบัติตามข้อตกลง






3. เด็กสามารถแสดงท่าทางด้วยความมั่นใจ








การเรียนรู้แบบร่วมมือ

การเรียนรู้แบบร่วมมือ
            ประสิทธิผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ได้รับการยืนยันจากการวิจัยทั้งการศึกษาวิจัยในห้องทดลอง และในภาคสนาม การศึกษาสหสัมพันธ์ที่แสดงว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือได้ผลในห้องเรียนจริงๆ Johnson and Johnson (1994) สรุปว่าการวิจัยเชิงสาธิตแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) การประเมินผลรวม ได้ผลว่าการ เรียนรู้แบบร่วมมือก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ 2) การประเมินผลรวมเชิงเปรียบเทียบ ได้ข้อสรุปว่า  กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือดีกว่ากระบวนการเรียนรู้แบบอื่น ๆ 3.)การปรพเมินผลระหว่างเรียนให้ผลที่จุดมุ่งหมายที่การพัฒนาการการใช้แบบร่วมมือ และ 4.) การศึกษาผลกระทบของการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีต่อผู้เรียน การเรียนรู้แบบร่วมมืออาจใช้ได้ดีกับทุกระดับชั้น ทุกเนื้อหาวิชา และทุกงาร(ภาระงาร) ด้วยความมั่นใจ ความร่วมมือเป็นความพยายามของมนุษย์โดยทั่วไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ต่าง ๆทางการศึกษา ผลลัพธ์นี้ Johnson and Johnson (1989a) สรุปได้ 3ประเภท คือ ความพยายามที่จะบรรลุผลสัมฤทธิ์ สัมพันธภาพระหว่างบุคคล และสุขภาพจิต ดังภาพประกอบที่ 4


ภาพประกอบที่ 4 ผลลัพธ์ของการร่วมมือ



            ที่มา Johnson and Johnson (1994  the new circles of learning cooperation in the classroom and schoolมานพ ธรรมสาร ผู้แปล กรมวิชาการ 2546 : 32)

ทักษะแห่งความร่วมมือ
            Johnson and Johnson (1991,1994) กล่าวว่า ทักษะระหว่างบุคคลหลายทักษะส่งผลต่อความสำเร็จในความพยายามร่วมมือกัน ทักษะแห่งความร่วมมือมี 4 ระดับ
1. ระดับนิสัย (forming) ทักษะขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสร้างกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ให้ทำหน้าที่ได้ เป็นทักษะเริ่มแรกของทักษะที่มุ่งจัดการเรียนรู้และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ พฤติกรรมที่สำคัญบางประการเกี่ยวกับทักษะดับสร้างนิสัย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
เคลื่อนไหวในกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวน เวลาทำงานเป็นกลุ่มสิ่งมีค่า จึงควรใช้เวลาในการจัดโต๊ะเก้าอี้และจัดกลุ่มการเรียนให้น้อยที่สุดตามความจำเป็น นักเรียนอาจจำเป็นต้องฝึกการจัดกลุ่มหลายๆ ครั้งก่อนที่จะปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล
            อยู่ประจำกลุ่ม นักเรียนที่เดินไปเดินมาในช่วงที่กลุ่มทำงานไม่ก่อให้เกิดผลดี และยังรบกวนสมาธิของสมาชิกกลุ่มอื่นด้วย
            พูดเบาๆ แม้ว่ากลุ่มการเรียนรู้ต้องอาศัยระหว่างกลุ่ม แต่ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงดังเกินไป ครูอาจมอบหมายให้นักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มเป็นผู้ค่อยกำกับคนอื่นให้พูดเบาๆ
            กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม สมาชิกทุกคนต้องร่วมกันคิดร่วมกันใช้สื่อการเรียน และมีส่วนร่วมในความพยายามให้กลุ่มบรรลุผล การให้นักเรียนผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่เป็นวีหนึ่งที่จะทำให้นักเรียนทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วม
2. ระดับสร้างบทบาท (function) ทักษะที่จำเป็นต่อการจัดกิจกรรมกลุ่ม เพื่อทำงานให้
สำเร็จและรักษาสัมพันธภาพในการทำงานที่มีประสิทธิผลในหมู่สมาชิกกลุ่ม ทักษะระดับที่สองนี่ เน้นที่การจัดการความพยายามของกลุ่มเพื่อทำงานให้สำเร็จและรักษาความสัมพันธ์ในการทำงานที่มีประสิทธิผล การทำให้สมาชิกในกลุ่มจดจ่ออยู่กับการทำงาน การหาวิธีดำเนินการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และการสร้างบรรยากาศการทำงานที่น่าพึงพอใจและเป็นมิตรนั้น ถือว่าเป็นการผสมผสานอันสำคัญที่จะนำไปสู่กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีประสิทธิผล ตัวอย่างทักษะระดัยสร้างบทบาท
แนะแนวทางการทำงานของกลุ่ม โดย (1) แจ้งและย้ำความมุ่งหมายของงานที่ได้รับมอบหมาย (2) เตือนให้ใช้เวลาตามที่กำหนดไว้ และ (3) เสนอขั้นตอนว่าจะทำงานอย่างไรให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด
            แสดงออกถึงการสนับสนุนและการยอมรับ ทั้งการใช้คำพูดและแสดงท่าทาง โดยใช้การมองสบตา แสดงความสนใจ ชมเชยแสวงหาความคิด และข้อสรุปของผู้อื่น
            ขอความช่วยเหลือหรือความชัดเจนในสิ่งที่พูดหรือทำในกลุ่ม
            เสนอให้คำอธิบายหรือชี้แจ้ง
            แปลความหมายข้อเสนอของสมาชิกอื่น
            เสริมพลังให้กลุ่มเมื่อเห็นแรงจูงใจลดลง โดยเสนอแนะความคิดใหม่ใช้อารมณ์ขัน หรือแสดงความกระตือรือร้น
            บรรยายความรู้สึกตนเมื่อมีโอกาสเหมาะ
3. ระดับสร้างระบบ (formulating) เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างความเข้าใจระดับลึกใน
เนื้อหาวิชาที่เรียน เพื่อเสริมสร้างให้ใช้กลยุทธ์การใช้เหตุผลที่มีคุณภาพสูง เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญและความคงทนของความรู้ที่ได้จากงานปฏิบัติ ทักษะระดับที่สามนี้ทำให้เกิดกระบวนการทางสมองที่จำเป็นในการสร้างความเข้าใจที่ลึกลงไปในเนื้อหาความรู้ที่เรียน กระตุ้นการใช้กลยุทธ์การให้เหตุผลที่มีคุณภาพสูงและเพิ่มความเชี่ยวชาญและความคงทนของเนื้อหาความรู้ที่เรียน เนื่องจากความมุ่งหมายของกลุ่มการเรียนรู้คือ ต้องการเพิ่มการเรียนรู้ของสมาชิก ทักษะเหล่านี้มุ่งเป้าหมายเฉพาะไปที่การให้รูปแบบวิธการในการจัดระเบียบความรู้ที่เรียน ทักษะระสร้างระบบสามารถดำเนินไปได้ในขณะที่สมาชกกลุ่มรับบาทต่าง ๆกัน บทบาทที่สัมพันธ์กับทักษะเหล่านี้คือ
ผู้สรุปย่อ เป็นผู้กล่าวสรุปสิ่งที่อ่าน หรืออภิปรายให้สมบูรณ์เท่าที่จะทำได้โดยไม่อาศัยร่างบันทึกหรือสื่อการเรียนต้นฉบับ ควรสรุป ข้อเท็จจริงและความคิดสำคัญทั้งหมดไว้ในการสรุปย่อด้วย สมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องสรุปย่อจากความจำบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มการเรียนรู้
            ผู้แก้ไข เป็นผู้ระวังเรื่องความถูกต้อง โดยคอยแกไขข้อสรุปของสมาชิก และเพิ่มเติมข้อสนเทศที่สำคัญซึ่งไม่ปรากฎในข้อสรุป
            ผู้ประสานความร่วมมือ เป็นผู้ประสานความร่วมมือโดยขอให้สมาชิกอื่น ๆ เชื่อมโยงความรู้ที่กำลังเรียนอยู่กับความรู้ที่เรียนไปแล้ว และกับสิ่งอื่น ๆ ที่สมาชิกเหล่านั้นรู้
            ผู้ช่วย จำเป็นหาวิธีการที่ดีในการจดจำข้อเท็จจริงและความคิดสำคัญ โดยการใช้ภาพวาด สร้างมโนภาพ หรือวิธีจำอื่น ๆ แล้วนำมาร่วมหารือในกลุ่ม
            ผู้ตรวจสอบความเข้าใจ เป็นผู้ขอให้สมาชิกกลุ่มอธิบายเป็นขั้นตอนถึงเหตุผลที่ใช้ในการทำงานให้สำเร็จ ซึ่งจะทำให้การให้เหตุผลของนักเรียนชัดแจ้ง และเปิดกว้างต่อการปรับแก้และอภิปราย
            ผู้ขอความช่วยเหลือ เป็นผู้เลือกคนที่ค่อยให้ความช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่ม รวมทั้งเป็นผู้ตั้งคำถามที่ชัดเจนและตรงประเด็น และทำอยู่อย่างั้นจนกว่าความช่วยเหลือจะสำเร็จ
            ผู้อธิบาย เป็นผู้บรรยายวิธีการทำงานให้สำเร็จ (โดยม่ให้คำตอบ) ให้ขอมูลย้อนกลับที่เจาะจงเกี่ยวกับงานนักเรียนอื่น และสุดท้ายด้วยการขอให้นักเรียนอื่นบรรยายหรือสาธิตวิธีการทำงานให้สำเร็จ
            ผู้ให้ความสะดวกในการอธิบาย เป็นผู้ขอให้สมาชิกกลุ่มวางแผนที่จะสอนเน อหาความรู้ให้ให้นักเรียนคนอื่นโดยละเอียด การวางแผนวิธีการถ่ายทอดความรู้ที่ดีที่สุด มีผลต่อคุณภาพกลยุทธ์การให้เหตุผลและความคงทนของความรู้
4. การสร้างเสริม (fermenting) ทักษะที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างการรับรู้เหตุผลในสิ่ง
ที่เรียนระดับความขัดแย้งด้านการรู้คิด (อภิปัญญา) การค้นหาความรู้เพิ่มเติม และกรสื่อสารกันด้วยหลักเหตุผลเมื่อมีการสรุปผล ทักษะแห่งความร่วมมือระดับที่ 4 ที่ทำให้นักเรียนสามารถเข้าร่วมในการโต้แย้งทางวิชาการได้ประเด็นสำคัญที่สุดบางประการของการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อ สมาชิกกลุ่มท้าทายการสรุปผล และการให้เหตุผลของกันและกันอย่างคล่องแคล่ว การโต้แย้งทางวิชาการทำให้สมาชิกกลุ่ม “เจาะลึก” ในเนื้อหาความรู้ที่เรียนระดมหลักเหตุผลในข้อสรุป คิดแปลกแยกเกี่ยวกับปัญหา หาข้อสนเทศเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตนและอภิปรายโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับทางเลือกของการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการโต้แย้งทางวิชาการได้แก่
วิจารณ์ความคิด โดยไม่วิจารณ์คน
แบ่งแยกความแตกต่าง เมื่อมีความเห็นขัดแย้งขึ้นในกลุ่มการเรียนรู้
บูรณษการความคิดหลายความคิดในเป็นจุดยืนเดียว
ขอคำชี้แจ้งในเรื่องการสรุปผลหรือคำตอบของสมาชิก
ขยายความสรุปหรือคำตอบของสมาชิกอื่น โดยเพิ่มเติมข้อมูลหรือแสดงนัยที่นอกเหนือออกไป
ตรวจสอบโดยการตั้งคำถามซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกลงไปหรือการวิเคราะห์ (“มันจะได้ผลหรือไม่ในสถานการณ์นี้..” “มีอย่างอื่นอีกหรือไม่ที่ทำให้คุณเชื่อ....”)
ให้คำตอบถูกลงไปโดยเจาะลึกลงไปนอกเหนือคำตอบหรือข้อสรุปแรก ให้คำตอบที่มีความเป็นไปได้หลายๆคำตอบให้เลือก
บอกความจริงโดยการตรวจสอบงานของกลุ่มในเรื่องวิธีการทำงานเวลาที่มีและปัญหาที่กลุ่มเผชิญ
ทักษะความร่วมมือช่วยให้สมาชิกกลุ่มมีแรงจูงใจในการให้คำตอบที่ลึกมีคุณภาพสูง

นอกเหนือจากคำตอบที่ตอบออกมาอย่างฉับพลันโดยการกระตุ้นการคิดและความอยากรู้อยากเห็นทางพุทธิปัญญาของสมาชิกกลุ่ม

การสานสร้างความรู้จากสังคม

การสานสร้างความรู้จากสังคม
            Toffler (1980) กล่าวถึงพัฒนาการทางสังคมมนุษย์จากสังคมเกษตรกรรม มาสู่สังคมอุตสาหกรรมและสังคมสารสนเทศ พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ เรียกกันในช่วงแรกว่า สังคมสารสนเทศ (information Society) ต่อมาผู้คนในสังคมที่มีปัญญาสามารถจัดการความรู้ได้ สังคมสารสนเทศก็กลายเป็น สังคมฐานความรู้ (knowledge based society) การพัฒนาเทคโนโลยีไร้สาย เป็นผลให้แนวทางในการจัด การศึกษาจำเป็นต้องให้สมาชิกในสังคมให้พร้อมรับสังคมฐานความรู้ การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางที่ กล่าวกันในการจัดการศึกษานั้น ต้องเกิดจากความเข้าใจผู้เรียนและสภาพแวดล้อมของผู้เรียน เพื่อสร้าง กิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียนและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดกระบวนการ เรียนรู้ สื่อในการเรียนรู้ การศึกษาตามทฤษฎี social constructivism มีความเหมาะสมมากสำหรับสังคมสารสนเทศ โดยเฉพาะสังคมฐานความรู้ เนื่องจากผู้เรียนสามารถเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย หาก สถานศึกษาจัดสภาวะแวดล้อมให้สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้จากเครือข่ายสารสนเทศ สุดาพร ลักษณียนาวิน (2550) ได้เสนอกระบวนการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎีการสานสร้างความรู้จากสังคม(social constructivism) ดังนี้


ตารางที่10 กระบวนการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎีการสานสร้างความรู้จากสังคม

            การศึกษาตามแนวทฤษฎีการสานสร้างความรู้จากสังคม หลักสูตรจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่จะเรียนรู้ โรงเรียนและผู้สอนจะกำกับการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนจะช่วยกันคิดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ สภาพสังคม วิธีการเรียนการสอนแบบนี้ต้องรวมพลังในการเรียนการสอน ทั้งการเตรียมการ เวลาในการ ค้นคว้าหาข้อมูล เวลาในการทำกิจกรรมและเวลาที่ต้องมีให้แก่กันระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับ ผู้สอน เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต กิจกรรมการเรียนเป็นเรื่องที่ผู้เรียนเป็นผู้กำกับดูแลเอง (autonomous learner) ผู้เรียนเป็นผู้สานสร้างความรู้ ในบริบทของคำถามและโจทย์ที่มีให้ตอบไม่รู้จบ เครื่องมือและสภาพทางกายภาพของห้องเรียน มีการออกแบบห้องเรียนที่ช่วยให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสื่อ กับเพื่อน และกับผู้สอน

อัธยาตมวิทยา : ความรู้ที่เกี่ยวกับจิตใจของคน


อัธยาตมวิทยา : ความรู้ที่เกี่ยวกับจิตใจของคน
          นิรมล ตีรณสาร สวัสดิบุตร (2548 : 7-8) ได้กล่าวไว้ว่า หนังสืออัธยาตมวิทยา (อ่านว่า อัด-ทะ-ยาด-ตะ-มะ-วิด-ทะ-ยา) หมายถึง ความรู้ที่เกี่ยวกับจิตใจของคน ซึ่งเป็นความรู้ที่ผู้เป็นครูจำเป็นต้องรู้ เพรำงานกับคน เป็นตำราวิชาครูของกรมศึกษาธิการ ที่เขียนโดย ขุนจรัสชวนะพันธ์ (สารท สุทธเสถียร) พิมพ์เผยแพร่ในปี ร.ศ. 125 (พ.ศ.2449) อาจารย์ผู้สอนวิชาจิตวิทยาการศึกษาในสถาบันผลิตครูยิ่งควรอ่าน ละเชิญชวนให้นิสิต นักศึกษาอ่านด้วย และเสนอแนวคิดเพิ่มเติมว่า ในการเขียนตำรา ควรอ่านแล้วปรับปรุงตำรา ให้ทันสมัยเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม พยายามให้ได้ใจความและเลือกสรรเฉพาะเรื่องที่จำเป็นสำหรับครูจริงๆ  ตลอดจนการใช้วิธีเขียนและภาษาที่เข้าใจง่ายเช่นเดียวกับตำราอัธยาตมวิทยานี้แสดงตัวอย่างไว้ หนังสืออัธยาตมวิทยา แบ่งเป็นตอนใหญ่ๆ 10 ตอน คือ
            1. วิทยาศาสตร์แห่งร่างกายและวิทยาศาสตร์แห่งจิตใจ ซึ่งเน้นว่า ครูที่ดีจะต้องรู้อาการของจิตใจนักเรียนให้ละเอียด เหมือนแพทย์ที่ต้องรู้อาการของร่างกายคนไข้
            2. ลักษณะทั้งสามของจิตใจ (ความกระเทือนใจ ความรู้ ความตั้งใจ) มีการแบ่งชั้นของความเจริญของจิตใจไว้ 3 ชั้น คือ อายุ 1-7 ปี 7-14 ปี และ 14-21 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุของคนที่ที่เป็นลูกศิษย์ของครูอาจารย์
            3. ความสนใจ มีสองชนิด คือ ที่เกิดขึ้นเอง และที่ต้องทำให้เกิดขึ้น
            4. ความพิจารณา มีการเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนว่าเด็กกรุงเทพฯ กับเด็กบ้านนอกมีความพิจารณาต่างกันอย่างไร และครูของเด็กทั้งสองพวกนี้ควรส่งเสริมเด็กต่างกันอย่างไร นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำที่น่าสนใจสำหรับครูในการสอนวิชาต่างๆ เช่น ภูมิศาสตร์ ไวยากรณ์ พงศาวดาร การเขียนลายมือและวาดรูป
            5. ความเจริญของอาการทั้งห้า (รู้สึก เห็น ฟัง ชิม ดม) มีการกล่าวถึงหน้าที่ของครูในการหัดอาการทั้ง 5 และบอกวิธีหัดอาการบางชนิดไว้ด้วย เช่น หัดให้รู้จักสี หัดให้รู้จักรูป หัดให้รู้จักหนทางไกล (การวัดการคาดคะเน) หัดให้รู้จักรูปด้วยการสัมผัส หัดอาการฟังด้วยการอ่าน-ด้วยเพลง หัดอาการดมและอาการชิม
            6. ความจำ มีเรื่องลืมสนิท และลืมไม่สนิท จำได้และนึกออก ชนิดของความจำและเรื่องที่ครูควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง คือ สิ่งที่ครูควรถือเป็นหลักในเวลาที่จะให้นักเรียนจำ สิ่งที่ควรให้นักเรียนท่องขึ้นใจ และสิ่งที่ไม่ควรให้นักเรียนท่อง
            7. ความคิดคำนึง วิธีฝึกหัดความคิดคำนึงให้ดีขึ้น วิธีฝึกหัดความคิดคำนึงให้ดีขึ้น มีการเสนอว่าบทเรียนที่ช่วยฝึกหัดความคิดคำนึงของเด็กได้ดีที่สุดคือ พงศาวดาร และภูมิศาสตร์ และแม้แต่หนังสือเรื่อง ยักษ์หรือผีสางเทวดาที่ผู้ใหญ่เห็นว่าไร้สาระ ก็ช่วยหัดให้เด็กมีความคิดคำนึงได้
            8. ความตกใจ เกิดจากอาการ 2 อย่าง คือ การเปรียบเทียบและการลงความคิดเห็น มีตัวอย่างบทเรียนที่ช่วยฝึกหัดความตกใจ เช่น การเขียนหนังสือ และวาดรูป บทเรียนสำหรับหัดมือ (พับ ตัด ปั้น) การกระจายประโยคตามตำราไวยากรณ์ เลข การเล่นออกแรง
            9. ความวิเคราะห์ มีการแสดงตัวอย่างวิธีการสอน 2 แบบ คือ แบบ “คิดค้น” (induction) และแบบ “คิดสอบ”(deduction) มีการเปรียบเทียบให้ดูว่าคิดค้นกับคิดสอบแตกต่างกันอย่างไรและมีประโยชน์แก่การศึกษาต่างกันอย่างไร ครูจะได้เลือกว่าเมื่อใดควรให้นักเรียนคิดค้น เมื่อใดให้คิดสอบ และมีตัวอย่างวิธีสอนเรื่องกริยาวิเศษณ์ที่แสดงขั้นตอนการสอนให้ดู 11 ขั้นตอน ซึ่งเป็นการคิดค้น แล้วต่อด้วยอีก 2 ขั้นตอน ซึ่งเป็นการคิดสอบ การใช้วิธีการสอนรวมกันทั้งคิดค้นและคิดสอบเช่นนี้ ท่านเรียกว่า วิธีสำเร็จ และบอกว่าเป็นวิธีที่ดีกว่าวิธีอื่นๆ
            10. ความเข้าใจ มีการให้ตัวอย่าง คำจำกัดความ ลักษณะแห่งความเข้าใจ และบอกวิธีสอนที่จะทำให้เด็กเข้าใจได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูทุกคนปรารถนา
            วิชาอัธยาตมวิทยาต่อมาเป็นวิชาจิตวิทยาในหลักสูตรผลิตครูในหลายสถาบัน คือ เรียนรู้หลักวิชาจิตวิทยาที่จะเป็นประโยชน์ในการเรียนการสอน (จรัส ชวนะพันธ์ (สารท สุทธเสถียร), ขุน (2548) นนทบุรี : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช)

การปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากร

การปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากร
            ชั้นเรียนโดยทั่วไปกำหนดให้มีจำนวนนักเรียนประมาณห้องหรือกลุ่มละ 30 คนเพื่อที่ผู้สอนและผู้เรียนจะได้มีปฏิสัมพันธ์อย่างทั่วถึง และกระบวนการจัดการเรียนการสอนเป็นทางการ เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้เรียนเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้ชัดเรียนขนาดเล็กกลายเป็นชั้นเรียนขนาดใหญ่ ผู้สอนให้สถาบันอุดมศึกษาที่รับผิดชอบสอนชั้นเรียนขนาดใหญ่ได้แบ่งเป็นกลุ่มหรือชั้นเรียนขนาดเล็กโดยมีผู้ช่วยสอนหรือไม่ผู้สอนก็ใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการสอน (มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและเทคนิคการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับผู้สอน ผู้ช่วยสอน ประจำห้องปฏิบัติการ ห้องเทคโนโลยีที่ทันสมัย) ซึ่งส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ในการจัดการเรียนการสอนควรมีการปรับเปลี่ยน เนื่องจากมีข้อจำกัดของทรัพยากรอันเป็นผลมาจากพัฒนาการทางสังคม โดยปรับวิธีการเรียนการสอน เครื่องมือและสภาพกายภาพ ผู้สอนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับจิตใจของคน การจัดการเรียนรู้ทางสังคมและการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นต้น

การสอนเพื่อความเข้าใจ : การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ


การสอนเพื่อความเข้าใจ: การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ
การกำหนดจุดหมายที่พึงประสงค์ในการสอนเพื่อความเข้าใจครูจะพิจารณาว่านักเรียนมีความรู้พื้นฐานที่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและน่าจะรู้อะไรบ้างแล้ว จากนั้นกำหนดขอบข่ายให้แคบลงว่านักเรียนควรมีสิ่งที่ จำเป็นต้องรู้และจำเป็นต้องทำ นักเรียนควรทำความเข้าใจในเรื่องใด และควรทำอะไรได้บ้าง ควรมีความ เข้าใจที่ยังเป็นอะไรบ้าง ครูจะต้องพิจารณาวิธีการประเมิน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นว่ากิจกรรมการเรียนการสอน จะต้องลุ่มลึกกว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก (ระบุหลักฐานและเกณฑ์ในการประเมินผลชัดเจน) จึงจะสามา" พัฒนาให้เกิดความเข้าใจในระดับที่ลึกซึ้ง
การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ (Backward Design)
Wiggin ได้เสนอกระบวนการออกแบบ การเรียนรู้ที่ย้อนกลับ จากจุดหมายการเรียนรู้และมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยเริ่มจากจุดหมายการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ จากนั้นจึงออกแบบหลักสูตร ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ และออกแบบการประเมินการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน เริ่มจากวิเคราะห์ตั้งแต่ช่วงแรกของการออกแบบหลักสูตรว่า หากนักเรียนบรรลุจุดหมายที่กำหนดไว้ จะต้องพิจารณาจากสิ่งใดหรือจากหลักฐานอะไร จึงจะถือว่านักเรียนได้เกิดความเข้าใจในระดับที่พึงประสงค์ วิธีการนี้จะช่วยให้ครูมีความชัดเจนในเรื่องจุดหมาย และออกแบบให้ให้มีความสอดคล้องกันระหว่างกิจกรรมการเรียนการสอนและจุดหมายที่พึงประสงค์ การออกแบบย้อนกลับ (Backward Design) จะมี 3 ขั้นตอน ดังนี้
            1. การกำหนดจุดหมายในการจัดการเรียนรู้
            2. การกำหนดหลักฐานที่แสดงว่านักเรียนได้บรรลุจุดหมายการเรียนรู้ที่กำหนดไว้
            3. การวางแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
การกำหนดจุดหมายในการจัดการเรียนรู้
            ผู้สอนจะพิจารณาว่าผู้เรียนมีพื้นฐานที่เป็นสาระสำคัญและรู้อะไรแล้ว กำหนดขอบข่ายว่านักเรียนจำเป็นต้องรู้สาระอะไร และจะต้องทำอะไรได้ ผู้เรียนควรทำความเข้าใจในเรื่องใด ควรทำอะไรได้บ้าง และควรมีความเข้าใจที่ลุ่มลึกและยั่งยืนในเรื่องใด Wiggin ได้เสนอเกณฑ์พิจารณากำหนดจุดหมาย 4 ประการ ได้แก่
            1. จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้น เป็นประเด็นหลักที่จะมีคุณค่านอกบริบทการเรียนการสอนในห้องเรียนหรือไม่ ความเข้าใจที่ยั่งยืนไม่เป็นเพียงข้อมูลหรือทักษะ เฉเพาะเรื่องเท่านั้น แต่จะต้องเป็นเรื่องหลัก ประเด็นหลัก ที่สามารถนำไปปรับประยุกต์ในสถานการณ์อื่นๆ นอกห้องเรียน
            2. จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้น เป็นหัวใจของศาสตร์ ที่เรียนหรือไม่ นักเรียนควรมีโอกาสผ่านกระบวนการของศาสตร์นั้นๆ เพื่อจะได้เรียนรู้ว่า องค์ความรู้ในศาสตร์นั้นๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร
            3. จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้น ต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจเพียงใด มีเนื้อหาสาระเป็นจำนวนมากที่ซับซ้อน ยาก และเป็นนามธรรมเกินที่จะนักเรียนจะเข้าใจได้ด้วยตนเอง หัวข้อเหล่านี้ ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และควรบรรจุในการเรียนการสอนมากกว่าเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ที่นักเรียนอาจเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
            4. จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้น เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของนักเรียน มีหลายหัวข้อ หลายกิจกรรมที่นักเรียนสนใจตามวัยอยู่แล้ว สามารถเลือกมาใช้เป็น “ประตู” ไปสู่เรื่องอื่นที่ใหญ่กว่า หากสามารถเชื่อมโยงเรื่องที่เรียนไปสู่เรื่องที่นักเรียนสนใจ จะช่วยทำให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าต่อเนื่องด้วยตนเองต่อไป
การวางแผนการจัดการเรียนรู้
เมื่อมีความชัดเจนเกี่ยวกับจุดหมายการเรียนรู้และหลักฐานที่เป็นรูปธรรมแล้วผู้สอนสามารถเริ่มวางแผนการจัดการเรียนรู้ได้ โดยอาจตั้งคำถามดังต่อไปนี้
ความรู้และทักษะอะไรจะช่วยให้นักเรียนมีความสามารถตามจุดหมายที่กำหนดไว้
กิจกรรมอะไรจะช่วยพัฒนานักเรียนไปสู่จุดหมายดังกล่าว
สื่อการสอนจึงจะเหมาะสมสำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ข้างต้น
การออกแบบโดยรวมสอดคล้องและลงตัวหรือไม่

ตรวจสอบทบวน


ตรวจสอบทบทวน
     สืบค้นมาตรฐานวิชาชีพครูตามข้อบังคับคุรุสภา  มาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ.2556  มาตรฐานด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานที่ 6  การจัดการเรียนรู้และการจัดการในชั้นเรียน  นำมากำหนดจุดหมาย  (Goals)  ในการศึกษารายวิชาเพื่อบรรลุมาตรฐานดังกล่าวนี้
มาตรฐานความรู้
         ข้อ บังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ.2556 เพิ่มมาตรฐานวิชาชีพครูเป็น 11 มาตรฐาน (จากเดิมมีเพียง 9 มาตรฐาน) โดยเพิ่ม 2 มาตรฐาน  เพิ่มมาตรฐาน “ปรัชญาการศึกษา” , “คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ” และได้จัดให้มาตรฐาน “การจัดการเรียนรู้” และ “การบริหารจัดการในห้องเรียน” จากเดิมที่แยกเป็น 2 มาตรฐาน รวมไว้ด้วยกันเป็น 1 มาตรฐาน และเปลี่ยนแปลงบางมาตรฐานเช่น เดิม มาตรฐานภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู ก็เปลี่ยนเป็น ภาษาและวัฒนธรรมแทน
มาตรฐานความรู้ ทั้ง 11 มาตรฐาน  ประกอบด้วยความรู้ดังต่อไปนี้
              1.ความเป็นครู
              2.ปรัชญาการศึกษา  ( เพิ่มเติม )
              3.ภาษาและวัฒนธรรม (เดิม “ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู”)
             4.จิตวิทยาสำหรับครู
             5.การพัฒนาหลักสูตร
             6.การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน (รวมจาก 2 มาตรฐานเป็น 1 มาตรฐาน)
             7.การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (เดิม “การวิจัยทางการศึกษา”)
            8.นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
            9.การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
           10.การประกันคุณภาพการศึกษา
           11.คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ  ( เพิ่มเติม ) 
มาตรฐานที่ 6 การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน การกำหนดจุดมุ่งหมายในการศึกษารายวิชาเพื่อบรรลุมาตรฐาน
1. ทฤษฏีและหลักการบริหารจัดการ
2. ภาวะผู้นำทางการศึกษา
3. การคิดอย่างเป็นระบบ
4. การเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร
5. มนุษย์สัมพันธ์ในองค์กร
6. การติดต่อสื่อสารในองค์กร
7. การบริหารจัดการชั้นเรียน
8. การประกันคุณภาพการศึกษา
9. การทำงานเป็นทีม
10. การจัดทำโครงงานทางวิชาการ
11. การจัดโครงการฝึกอาชีพ
12. การจัดโครงการและกิจกรรมเพื่อพัฒนา
13. การจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ
14. การศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชน

รูปแบบ The STUDIES Model โดยนางสาวณิชาพร ขันวัง